3.เครื่องตี เช่น ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก
โปงลาง
โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะหรือเครื่องตี มีลักษณะคล้ายระนาดแต่แขวนในแนวดิ่ง เป็นที่นิยมในภาคอีสานบางท้องถิ่นอาจเรียกว่า หมากกลิ้งกล่อม หมากขอลอ หรือ เกราะลอ เป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
นายเปลื้อง ฉายรัศมี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้าน) ประจำปี พ.ศ. 2529 ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ทำการพัฒนาโปงลางจนมีลักษณะเช่นในปัจจุบัน โดยได้พัฒนาโปงลางขึ้นจากเกราะลอ ซึ่งใช้เคาะส่งสัญญาณในท้องนา
โปงลาง นิยมทำจากไม้มะหาด หรือไม้หมากเหลื้อม เพราะเป็นไม้ที่มีความอยู่ตัวมากกว่าไม้อื่นๆ วิธีการทำเอาไม้ที่แห้งแล้ว มาถากเหลาให้ได้ขนาดลดหลั่นกันตามเสียง ที่ต้องการในระบบ 5 เสียง โปงลาง 1 ชุดจะมีจำนวนประมาณ 12 ลูก ใช้เชือกร้อยรวมกันเป็นผืน เวลาตีต้องนำปลายเชือกด้านหนึ่งไปผูกแขวนไว้กับเสาในลักษณะห้อยลงมา ส่วนปลายเชือกด้านล่างจะผูกไว้กับหลัก หรือเอวของผู้ตี วิธีการเทียบเสียง โปงลาง ทำโดยการเหลาไม้ให้ได้ขนาด และเสียงตามต้องการ ยิ่งเหลาให้ไม้เล็กลงเท่าใดเสียงก็จะยิ่งสูงขึ้น ในสมัยอดีตโปงลางนั้นมีด้วยกัน 5เสียง คือ โด เร มี ซอล ลา แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาโดย นาย เปลื้อง ฉายรัศมี โปงลางที่ได้มาตรฐานจะต้องมี 6เสียง 13 ลูก คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา (ต่อมามีเสียง ที ด้วย) ซึ่งแตกต่างจากระนาดในปัจจุบันที่มีเจ็ดเสียง และมีการปรับแต่งเทียบเสียงด้วยการใช้ ตะกั่วผสมขี้ผึ้ง ถ่วงใต้ผืนระนาด เพื่อให้ได้ระดับเสียง และคุณภาพเสียงที่ต้องการ การบรรเลงหมากกลิ้งกล่อม หรือโปงลาง นิยมใช้ผู้บรรเลงสองคนต่อเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น แต่ละคนใช้ไม้ตี ๒ อัน มี หมอเคาะกับหมอเสิฟ หมอเคาะ คือผู้ที่ตีทำนองของเพลงหรือลายนั้น ส่วนหมอเสิฟ คือผู้ที่ตีประสานจะตี 2 ลูก เช่น ตี ลา-มี หรือ ซอล-เร เป็นต้น การเรียกชื่อเพลงที่บรรเลงด้วยโปงลางมักจะเรียกตามลักษณะและลีลาของเพลงโดย การสังเกตจากสภาพของธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น เพลง "ลายนกไซบินข้ามทุ่ง" เพลง "ลายกาเต้นก้อน" เพลง "ลายแมงภู่ตอมดอกไม้" เป็นต้น
โปงลาง นั้นนอกจากจะใช้บรรเลงตามลำพังแล้ว ยังนิยมใช้บรรเลงเป็นวงร่วมกับ เครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น พิณ แคน กลอง เพื่อการฟังและใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนพื้น บ้านอีสานได้เป็นอย่างดี ต่อมาภายหลัง อาจารย์เปลื้อง ฉายรัศมี ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ ได้ประยุกต์วงโปงลางขึ้นใหม่ โดยนำกระดึงผูกคอวัวที่เป็นโลหะมาแขวนเรียงแทนลูกโปงลางเดิมที่ทำด้วยไม้ ทำให้เกิดมิติของเสียงที่แตกต่างจากการบรรเลงโปงลางแบบเดิม นับเป็นต้นแบบของ การพัฒนาโปงลางในระยะต่อมา เช่น การทำลูกโปงลางด้วยแผ่นทองเหลืองขนาดต่าง ๆ เรียกว่า "หมากกะโหล่ง" รวมถึงการนำเอาไม้ไผ่มาเหลาให้มีขนาดลดหลั่นกัน เรียกว่า "โปงลางไม้ไผ่" และการนำเอาท่อเหล็กมาทำเป็น"โปงลางเหล็ก"ด้วย ทำให้เสียงมีความแตกต่างมากขึ้นและได้นำมาเล่นผสมวงกัน เกิดเป็นวง หมากกะโหล่งโปงลาง โดย วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
ประเภทโปงลาง
โปงลาง ในที่นี้ จำแจกเป็นประเภทแบบง่ายๆ ได้ ๒ แบบ คือ แบบดั้งเดิม และแบบมาตรฐาน
โปงลางแบบดั้งเดิม
โปงลางแบบดั้งเดิม มีโน้ตเพียง 5 โน้ต 12 ลูก โปงลางหนึ่งผืน สามารถเล่นได้ 2 ลาย(สองคีย์) เช่น
หากปรับให้เสียงโทนิกหรือเสียงหลัก (ลูกที่สามของโปงลาง) ตรงกับ เสียงลา ของแคน จะสามารถเล่นคีย์ลายใหญ่และลายสุดสะแนนได้ เรียกโปงลางนี้ว่า โปงลางคีย์ลายใหญ่
โปงลางแบบดั้งเดิม
โปงลางแบบดั้งเดิม มีโน้ตเพียง 5 โน้ต 12 ลูก โปงลางหนึ่งผืน สามารถเล่นได้ 2 ลาย(สองคีย์) เช่น
หากปรับให้เสียงโทนิกหรือเสียงหลัก (ลูกที่สามของโปงลาง) ตรงกับ เสียงลา ของแคน จะสามารถเล่นคีย์ลายใหญ่และลายสุดสะแนนได้ เรียกโปงลางนี้ว่า โปงลางคีย์ลายใหญ่
หรือหากปรับให้เสียงโทนิกหรือเสียงหลัก (ลูกที่สามของโปงลาง) ตรงกับ เสียงเร ของแคน จะสามารถเล่นคีย์ลายน้อย และลายโป้ซ้ายได้ เรียกโปงลางนี้ว่า โปงลางคีย์ลายน้อย
โปงลางแบบมาตรฐาน
เนื่องจากโปงลางแบบดั้งเดิม เล่นได้น้อยลาย จึงได้พัฒนาต่อมา เพื่อให้โปงลางหนึ่งผืน เล่นได้หลายลายมากขึ้น โดยเพิ่มลูกโปงลางเสียง ฟา เข้าไป หนึ่งลูก
โปงลางแบบมาตรฐาน มีโน้ต 6 โน้ต 13 ลูก ครบ2ช่วงทบเสียง (ช่วงทบเสียงที่3 มีเพียงเศษโน้ต) โดยเรียงโน้ตจากต่ำ ไปหาสูง ดังนี้ มฺ ซฺ ลฺ ดฺ รฺ ม ฟ ซ ล ด ร มํ ซํ
เนื่องจากโปงลางแบบดั้งเดิม เล่นได้น้อยลาย จึงได้พัฒนาต่อมา เพื่อให้โปงลางหนึ่งผืน เล่นได้หลายลายมากขึ้น โดยเพิ่มลูกโปงลางเสียง ฟา เข้าไป หนึ่งลูก
โปงลางแบบมาตรฐาน มีโน้ต 6 โน้ต 13 ลูก ครบ2ช่วงทบเสียง (ช่วงทบเสียงที่3 มีเพียงเศษโน้ต) โดยเรียงโน้ตจากต่ำ ไปหาสูง ดังนี้ มฺ ซฺ ลฺ ดฺ รฺ ม ฟ ซ ล ด ร มํ ซํ
โปงลางหนึ่งผืน สามารถเล่นลายได้ครบทุกลาย คือ ลายใหญ่ ลายน้อย ลายสุดสะแนน ลายโป้ซ้าย ลายเซ และลายสร้อย (แต่หากเป็นเพลงที่มี6 -7โน้ต จะไม่สามารถเล่นครบโน้ตได้ ต้องข้ามบางโน้ตไป เพราะไม่มีเสียง ที และฟา นั่นเอง)
ส่วนประกอบ
ลูกโปงลาง
ลูกโปงลาง มีลักษณะเป็นแท่งกลม บากให้เว้าตรงกลางทั้งสองด้าน แล้วด้านหัวท้ายของลูกโปงลางแต่ละลูก เจาะรูทะลุ สำหรับร้อยเชือก โดยลูกที่โตและยาวที่สุด จะให้เสียงโทนต่ำที่สุด ลูกที่เล็กและสั้นที่สุด จะให้เสียงสูงที่สุด
ลูกโปงลาง ทำจากไม้เนื้อแข็ง และให้เสียงกังวานดี ซึ่งไม้ที่ให้เสียงกังวานได้ เช่น ไม้พะยูง ไม้มะหาด ไม้มะเหลื่อม ไม้ขนุน และไม้ไผ่ (ปัจจุบัน ใช้โลหะทำเป็นลูกโปงลาง ก็มี)
ไม้พะยูง ให้เสียงกังวานใสดีมาก เนื้อแข็งกว่าไม้มะหาด เมื่อใช้งานไปนานๆ สีจะออกน้ำตาลดำ ลูกโปงลางที่ทำจากไม้พะยูง ถือว่าคุณภาพดีมาก แต่เนื่องจาก ปัจจุบัน ไม้พะยูง เป็นไม้สงวน จึงหาโปงลางไม้พะยูงไม่ได้แล้ว (นอกจาก ที่ทำก่อนหน้านี้)
ไม้ขนุน ให้เสียงกังวานพอประมาณ แต่เนื้อไม่แข็ง สึกหรอเร็ว จึงไม่เป็นที่นิยม
ไม้มะหาด มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ มะหาดทอง มะหาดน้ำผึ้ง และมะหาดขี้ควาย
มะหาดทอง ให้เสียงกังวานนุ่มใสดี เมื่อตกแต่งเสร็จใหม่ๆ สีเหลืองทอง พอใช้งานไปนานๆ สีจะออกดำคล้ำ เกิดอยู่ตามป่าลึก หรือในดง ปัจจุบัน หาค่อนข้างยากแล้ว
มะหาดน้ำผึ้ง ให้เสียงกังวานนุ่มปานกลาง เมื่อตกแต่งเสร็จใหม่ๆ สีจะเหลืองเหมือนขมิ้น พอใช้งานไปนานๆ สีจะคล้ำลงจากเดิมหน่อยหนึ่ง แต่ยังคงเป็นสีเหลืองๆอยู่
มะหาดขี้ควาย หรือมะหาดทุ่ง ให้เสียงกังวานน้อย เกิดอยู่ตามท้องทุ่งนาทั่วไป สีดำคล้ำ ให้คุณภาพเสียงต่ำที่สุดในบรรดาไม้มะหาดด้วยกัน
ไม้มะเหลื่อม ให้เสียงกังวานดี แต่เสียงไม่ค่อยแน่น และไม้มะเหลื่อมเนื้อไม่แข็งเท่าไม้มะหาด ดังนั้นเมื่อทำโปงลาง จะสึกหรอเร็ว ใช้งานได้ไม่นาน จึงไม่เป็นที่นิยมนัก
ไม้ไผ่ ให้เสียงกังวานน้อย ไม่ค่อยไพเราะ จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับนำไปบรรเลงจริง (แต่สำหรับโรงเรียนสอนโปงลาง อาจใช้โปงลางไม้ไผ่ สำหรับฝึกสอน)
ไม้ตีโปงลาง
ไม้ตีโปงลาง ใช้สองอัน หรือหนึ่งคู่ ทำจากไม้เนื้ออ่อนกว่าไม้ลูกโปงลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ ลูกโปงลางสึกหรอเร็ว คือให้ไม้ตีสึกหรอก่อนนั่นเอง นิยมทำจากไม้ประดู่ เพราะให้สีสันสวยงาม และแข็งพอประมาณ
ไม้ตีโปงลาง ใช้สองอัน หรือหนึ่งคู่ ทำจากไม้เนื้ออ่อนกว่าไม้ลูกโปงลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ ลูกโปงลางสึกหรอเร็ว คือให้ไม้ตีสึกหรอก่อนนั่นเอง นิยมทำจากไม้ประดู่ เพราะให้สีสันสวยงาม และแข็งพอประมาณ
เชือกร้อย
ใช้สำหรับร้อยลูกโปงลางแต่ละลูกให้เป็นผืนเดียวกัน โดยระหว่างลูกแต่ละลูก ขอดเป็นปมให้แต่ละลูกไม่สัมผัสกัน แม้จะอยู่ในผืนเดียวกัน แต่เป็นอิสระต่อกัน และด้านหัวท้าย ทำเป็นห่วงสำหรับคล้องเกี่ยวกับขาโปงลาง
ใช้สำหรับร้อยลูกโปงลางแต่ละลูกให้เป็นผืนเดียวกัน โดยระหว่างลูกแต่ละลูก ขอดเป็นปมให้แต่ละลูกไม่สัมผัสกัน แม้จะอยู่ในผืนเดียวกัน แต่เป็นอิสระต่อกัน และด้านหัวท้าย ทำเป็นห่วงสำหรับคล้องเกี่ยวกับขาโปงลาง
ขาโปงลาง
ใช้สำหรับ แขวนลูกโปงลางทั้งผืนไว้ ให้ลูกโปงลาง ลอยอยู่อากาศ ซึ่งขาโปงลาง มีทั้งแบบสูงสำหรับยืนตี และแบบต่ำสำหรับนั่งตี
ใช้สำหรับ แขวนลูกโปงลางทั้งผืนไว้ ให้ลูกโปงลาง ลอยอยู่อากาศ ซึ่งขาโปงลาง มีทั้งแบบสูงสำหรับยืนตี และแบบต่ำสำหรับนั่งตี
วิธีการตีโปงลาง
การตีโปงลางจะนั่งกับพื้นหรือยืน ในท่าที่ถนัด โดยจะอยู่ด้านซ้ายของโปงลาง ดังนี้
1. จับไม้ตีโปงลางให้แน่น
2. ฝึกไล่เสียงจากจากเสียงต่ำ ไปหาเสียงสูง และจากเสียงสูงไปหาเสียงต่ำ ในลักษณะสลับมือซ้าย-ขวา
3. ฝีกตีกรอ รัว สะบัด
4. ฝีกบรรเลงลายที่ง่ายๆ เช่น ลายโปงลาง เต้ย ลายภูไท เป็นต้น
1. จับไม้ตีโปงลางให้แน่น
2. ฝึกไล่เสียงจากจากเสียงต่ำ ไปหาเสียงสูง และจากเสียงสูงไปหาเสียงต่ำ ในลักษณะสลับมือซ้าย-ขวา
3. ฝีกตีกรอ รัว สะบัด
4. ฝีกบรรเลงลายที่ง่ายๆ เช่น ลายโปงลาง เต้ย ลายภูไท เป็นต้น
ลักษณะเสียงโปงลาง
การเคาะโปงลาง
โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เวลาเคาะจึงมีเสียงแกร่งสั้น และห้วน ถ้าเราเคาะโน้ต 1 หรือ 2 จังหวะ จะได้เสียงไม่ไพเราะ เพราะเสียงนั้นไม่มีกังวาล ผู้ฝึกหัดจึงสมควรที่จะฝึกปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.ฝึกเคาะรัวถี่แทนตัวโน้ต หรือซอยโน้ตให้ย่อยออกเป็นตัวเขบ็จ 1 ชั้น 2 ชั้น เป็นต้น
2.ผู้ฝึกจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องฝึกเคาะจังหวะตามทำนองหลักให้ตนเองได้ยินจนแม่นยำก่อน แล้วจึงฝึกซอยโน้ตทีหลัง
3.โดยทั่วไป ผู้เคาะโปงลางมีอยู่ 2 คน ผู้ที่เล่นทำนองนั้นจะเรียกว่า “หมอเคาะ” ส่วนอีกคนหนึ่งจะเล่นเสียงประสาน เรียกว่า “ หมอเสิบ” หมอเสิบนั้นเป็นผู้ช่วยทำจังหวะและทำเสียงทุ้ม
การเคาะลูกโปงลาง อย่าเคาะตรงลงไปหนักๆตรงๆ จะทำให้เสียงกระด้าง ให้เคาะอย่างนิ่มนวล หรือเคาะแฉลบออกอย่างสม่ำเสมอ
2.ผู้ฝึกจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องฝึกเคาะจังหวะตามทำนองหลักให้ตนเองได้ยินจนแม่นยำก่อน แล้วจึงฝึกซอยโน้ตทีหลัง
3.โดยทั่วไป ผู้เคาะโปงลางมีอยู่ 2 คน ผู้ที่เล่นทำนองนั้นจะเรียกว่า “หมอเคาะ” ส่วนอีกคนหนึ่งจะเล่นเสียงประสาน เรียกว่า “ หมอเสิบ” หมอเสิบนั้นเป็นผู้ช่วยทำจังหวะและทำเสียงทุ้ม
การเคาะลูกโปงลาง อย่าเคาะตรงลงไปหนักๆตรงๆ จะทำให้เสียงกระด้าง ให้เคาะอย่างนิ่มนวล หรือเคาะแฉลบออกอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างการตีโปงลาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น